มาตั้งแต่เด็ก การปลูกกล้วยในประเทศไทยมีปริมาณเพิ่มขึ้น ๆ แสดงให้เห็นถึงความนิยมของผู้บริโภค
แต่ส่วนใหญ่แล้วคนไทยจะรู้จักกล้วยอยู่เพียง 3 ชนิด คือ กล้วยหอมทอง กล้วยน้ำว้า และกล้วยไข่ ภาย
ในประเทศเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการส่งออกมิได้เพิ่มตามพื้นที่การปลูกกล้วย ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีศักยภาพ
ในการปลูก การดูแลให้กล้วยได้มาตรฐานในการส่งออก แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำการส่งออกจริงจัง การส่งออกจะ
ได้ผลดีต้องอาศัยองค์กรประกอบ อาทิเช่น ตัวเกษตรกรเองพันธุ์กล้วยที่ให้ผลิตสูง ผลผลิตมีคุณภาพและ
ผู้ส่งออกซึ่งอาจจะต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐ
ในประเทศไทย การผลิตกล้วยเพื่อการส่งออกต่างประเทศ รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าของกล้วยด้วย การแปรรูป
และการนำส่วนต่าง ๆ ของต้นกล้วยมาใช้ประโยชน์ อาทิเช่น ปลี ใบตองและกาบกล้วย ดังต่อไปนี้
และฉลองชัย แบบประเสริฐ แห่งภาควิชาพืชสวน โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก IBPGR/FAO ได้ทำการสำรวจ
รวบรวม และจำแนกพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่า มีอยู่ 53 พันธุ์ หลังจากนั้นได้มีผู้ช่วยทำการสำรวจ
เพิ่มขึ้นคือ กวิศร์ วานิชกุล จนกระทั่งได้ 59 พันธุ์ พันธุ์ที่รวบรวมได้ ได้เก็บรักษาไว้ในแปลงรวบรวมพันธุ์
ที่สถานีวิจัย ปากช่องจังหวัดนครราชสีมา โดย ฉลองชัย แบบประเสริฐ และภาควิชาพืชสวน วิทยาเขต
กำแพงแสน โดยกวิศร์ วานิชกุล และได้รวบรวมไว้โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่ภาควิชาพืชสวน วิทยาเขต
บางเขน โดย เบญจมาศ ศิลาย้อย
เพื่อใช้ผลิตในเชิงการค้างานทดลองนี้ได้เน้นที่พันธุ์กล้วยหอมที่ปลูกเป็นการค้าทั่วโลกคือ พันธุ์แกรนด์เนน
ซึ่งเป็นพันธุ์กล้วยหอมเขียว ที่นำมาจากอเมริกาใต้ โดย เบญจมาศ ศิลาย้อย และได้ปลูกทดสอบ กล้วย
หอมเขียว (Cavendish) พันธุ์ต่าง ๆ เช่น วิลเลียม ไจแอนท์คาเวนดิช ดวอฟคาเวนดิช เปรียบเทียบกับ
กล้วยหอมทอง และหอมทองไต้หวัน โดย กวิศร์ วานิชกุล จุลภาค คุ้นวงศ์ และเบญจมาศ ศิลาย้อย ที่
วิทยาเขตกำแพงแสน เมื่อ ปี พ.ศ. 2532 และ พบว่า กล้วยหอมเขียวทุกพันธุ์ มีศักยภาพที่จะปลูกได้ใน
ประเทศไทยโดยให้ผลผลิตสูง จำนวนหวีมาก จำนวนผลต่อหวีสูงกว่ากล้วยหอมทอง กล่าวคือ ในขณะที่
ผลิตกล้วยหอมทองได้ 4-6 หวี/เครือ มี 14 ผล/หวี กล้วยหอมเขียวดังกล่าวสามารถให้ผลผลิตได้
ประมาณ 8-12 หวี/เครือ และจำนวน 16-20 ผล/หวี ดังนั้น จึงควรปลูกกล้วยหอมเขียวพันธุ์ดังกล่าว
โดยเฉพาะกล้วยหอมแกรนด์เนน ซึ่งมีต้นเตี้ย รสชาติคล้ายหอมทอง ส่วนกล้วยหอมทองนั้นควรปลูก
รับประทานภายในประเทศ ในปี 2536-2538 สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ให้
ทุนนักวิจัยทำการวิจัยกล้วยครบวงจร ดังนั้น ในการวิจัยการปลูกในเชิงการค้าจึงเน้นที่ กล้วยหอม
แกรนด์เนน ซึ่งฉลองชัย แบบประเสริฐ รักเกียรติ ชอบเกื้อ สุวิทย์ มานิชยิ่ง และ พินิจ กรินท์ธัญญกิจ
ได้ทำการทดลองที่สถานีวิจัยปากช่อง ส่วน ณรงค์ สิงห์บุระอุดม ได้ทดลองที่วิทยาเขตกำแพงแสน ได้
ทดลองใช้พันธุ์กล้วยหอมแกรนด์เนนที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปลูก และได้ผลทำนองเดียวกันว่า ควร
ใช้อัตราปลูก 350 ต้นต่อไร่ เก็บใบไว้ 11 ใบ จะได้ต้นที่มีการเจริญเติบโต ผลผลิตดี คุณภาพดี กล่าวคือ
ได้น้ำหนักเครือสูงถึง 28.38 กิโลกรัม มีผล 15.36-18.35 ผล/หวี และมี 7.86-8.66 หวี/เครือ ความยาว
ของผล 15.92-16.12 เซนติเมตร กว้าง 3.95-4.02 เซนติเมตร เปลือกมีความหนา 0.3-0.343 เซนติเมตร
เพราะในการส่งออกนั้นจะต้องคัดเลือกผลที่ได้ขนาดมาตรฐาน ผิวดีไม่มีตำหนิ ดังนั้นจะมีผลกล้วยที่ไม่ได้
มาตรฐานเหลือมาก ซึ่งสามารถส่งขายตลาดในประเทศ หรืออาจจะมาเพิ่มมูลค่าในการส่งออก โดย
การแปรรูปได้ เช่น
ลัดดา แสงเดือน สุมิตรา บุญบำรุง และ พยอม อัตตวิบูลย์กูล โดยทำการทดลองกับกล้วยหอมดิบและ
กล้วยไข่ดิบ ทั้งนี้ เพราะกล้วยดิบมีคาร์โบไฮเดรท ซึ่งอยู่ในรูปของแป้งสูง งานทดลองนี้ได้ทดลองกล้วยดิบ
กับกล้วยดิบที่นึ่ง โดยนำกล้วยมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นึ่งและอบแห้งที่ 60 ํC แล้วร่อนผ่านตะแกรง
60 mesh ผลการทดลอง พบว่า จากการทำขนมเค้ก และคุกกี้ พบว่า แป้งกล้วยไม่ผ่านการนึ่งได้รับการ
ยอมรับมากกว่าจากการใช้แป้งกล้วย 30-50% ทดแทนแป้งสาลีในการทำขนม
ที่มีน้ำหนักเบา สามารถเก็บรักษาได้นาน และอยู่ในสภาพสะดวกต่อการนำไปใช้ เช่น เป็นส่วนผสมของ
อาหารเด็กอ่อนขนมอบ ขนมหวาน การทดลองนี้ได้ทำการวิจัยโดย ธนะบูลย์ สัจจาอนันตกุล และ กัลยาณี
โสมนัส ได้ทดลองนำกล้วยที่มีความสุกแก่ 2 ระดับ คือที่ PCI 5-6 และ 7-8 นำมาทำแห้งแบบโฟม และ
แบบพ่นฝอย พบว่า ในการทำแห้งแบบโฟม ต้องใช้ Milhocel A&M (4000 cps) หรือ Myvatex เป็นสาร
ช่วยให้โฟมคงตัว โดยใช้ความเข้มข้น 0.7-1.1% solid กล้วยขึ้นกับอายุการสุกแก่ หลังจากนั้นสามารถ
ใช้การอบแห้งโดยตู้อบแห้ง และบดเป็นยาได้ ทั้งนี้ Myvatex จะสะดวกในทางปฏิบัติมากกว่า ส่วนการ
ทำแห้งแบบฝอยมีขั้นตอนที่สะดวกในการปฏิบัติมากกว่าการทำแห้งแบบโฟม การทำแห้งแบบฝอยควรมี
Maltodextrin ปริมาณ 60:40 กับ solid กล้วย เพื่อช่วยในการทำแห้ง และรักษากลิ่นแต่ทำให้ผลที่ได้
มีสีเหลืองน้อยลง
สตรอเบอรี่ โดย ทนง ภัครัชพันธุ์ และได้ทำการวิจัยการทำน้ำกล้วยแบบใส และแบบขุ่น
ลิเคียวได้ โดย ประดิษฐ์ ครุวัณณา ได้ศึกษาเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการผลิตไวน์ และลิเคียวจากกล้วย
โดยทดลองใช้กล้วยที่สุก 3 ชนิด คือ กล้วยหอมทอง แกรนด์เนน และวิลเลียม ทำการหมักกล้วย
โดยใช้ยีสต์ Saccharomyces cerevesiae (Montrachet Strain) จำนวน 5% ที่อุณหภูมิ 20 ํC และทำให้
ใสโดยใช้เอนไซม์ Ultrazyme 100 C 70 ppm ที่ 20 ํC ประมาณ 10 วัน แล้วกรองด้วยเครื่องกรอง
สูญญากาศ เก็บไวน์ไว้ที่ 5 ํC ส่วนการทำลิเคียว (สุรากลั่นเติมรสหวาน) นั้น ทำการกลั่นไวน์กล้วยที่หมัก
ทั้งเนื้อ และเปลือก ด้วยเครื่องกลั่นทำด้วยแก้ว เก็บเมื่อมีแรงแอลกอฮอล์ ประมาณ 60% โดยปริมาตร
เติมผง activated charcaal 0.05 % กรองด้วยกระดาษกรองเบอร์ 1 แล้วเติมแอลกอฮอล์กลั่นนี้ในไวน์
กล้วยหอมจนมีแรงแอลกอฮอล์ ประมาณ 15% โดยปริมาตร เติมน้ำเชื่อมจนมีน้ำตาลรีคิงส์ 5.0-7.5%
จากผลการทดลอง พบว่า กล้วยหอมทองและกล้วยวิลเลียมเหมาะที่จะนำมาหมักไวน์ ส่วนกล้วยหอม
แกรนด์เนนและหอมทองเหมาะในการทำลิเคียว
ทำการแปรรูปเป็นกล้วยกระป๋องได้ผลดี
เช่น การใช้ใบตอง และลำต้นเทียมของกล้วย
ในการทำภาชนะบรรจุภัณฑ์ เพื่อนำมาทดแทนภาชนะพลาสติกและโฟมใช้ในการบรรจุอาหารชั่วคราว เพื่อลด
ปัญหาขยะและมลภาวะทางอากาศ พบว่า การใช้ใบตองของกล้วยตานีดำ และหอมเขียว ให้คุณสมบัติใกล้
เคียงกัน มีความแข็งแรงดีกว่าใบตองของกล้วยน้ำว้า และใบที่ใช้ควรเป็นใบอ่อน จะมีสีสวยงามกว่าใบแก่
ในการวิจัยได้ทำการขึ้นรูปภาชนะ รูปร่างเป็นวงกลมสี่เหลี่ยมผืนผ้า และสี่เหลี่ยมจตุรัส ในการขึ้นรูปต้องใช้
แม่พิมพ์อัดโดยใช้ความร้อน แรงดัน จากการศึกษาพบว่า การขึ้นรูปต้องใช้แม่พิมพ์ที่ประกบติดกันได้สนิท
ระยะห่างของแม่พิมพ์ทั้ง 2 ชั้น ต้องสม่ำเสมอ และควรใช้ใบตอง 7 ชั้น อัดที่อุณหภูมิ 80 ํC ความดัน 3 ตัน
เป็นเวลา 1 นาที 30 วินาที ถึง 3 นาทีส่วนภาชนะควรเป็นทรงกลมและตื้นคือ ลึกประมาณ 3 เซนติเมตร
จะได้ภาชนะที่แข็งแรงกว่าทรงเหลี่ยมและลึก อย่างไรก็ตามความแข็งแรงทั้งหมดขึ้นอยู่กับชนิดใบตองที่ใช้ด้วย
เพื่อศึกษาคุณสมบัติทางฟิสิกส์ และเคมีพื้นฐานจากกาบกล้วย และสมบัติเบื้องต้นทางเยื่อกระดาษจากกาบ
กล้วยพบว่า มวลของต้นกล้วยเป็นน้ำส่วนใหญ่ สัดส่วนน้ำต่อมวลแห้ง ประมาณ 14:1 มวลแห้งของกาบต่อไส้
4.5:1ไฟเบอร์ของกาบกล้วยมีความยาวระหว่าง 3-5 มม. มีลิกนินต่ำกว่า 14% เมื่อเทียบกับไม้ซึ่งมี 25-35%
ดังนั้น จึงมีแรงต้านทานต่อแรงหักที่สูงกว่าไม้หลายชนิด เหมาะที่จะทำเป็นกระดาษเพื่อความสวยงาม จะเหมาะ
กว่าเช่น ชานอ้อย และกระดาษสา เปลือกกล้วย ยังมีสารที่มีประโยชน์ เช่น แทนนิน แทนนิน มีประโยชน์
ในแง่การเสริมรสชาติในอาหารบางชนิด โดยเฉพาะไวน์แดง และมีกลิ่นรส เฉพาะตัว ของผลิตภัณฑ์ วิภา
สุโรจนะเมธากุล ได้ทำการวิจัย พบว่า ในเปลือกกล้วยมีปริมาณแทนนินอยู่แต่ไม่มากนัก
ของการผลิตและการใช้ประโยชน์ต่าง ๆ จากกล้วย โดย สมคิด ทักษิณาวิสุทธิ์ พบว่าเกษตรกร เห็นว่า
ต้นกล้วยพันธุ์แกรนด์เนนที่ผลิตจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อดี เหมาะสมที่จะผลิตเป็นการค้า ถ้าหากมีผู้รับ
ซื้อจริงจัง เกษตรกรสามารถทำการผลิตส่งได้
ในเชิงพาณิชย์ได้ด้วย ส่วนต่าง ๆ ของต้นกล้วย รวมทั้งผล สามารถนำมาแปรรูปได้ เป็นการเพิ่มมูลค่า
ของกล้วยให้มากยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น